คุณพ่อคุณแม่คงจะเคยได้ยินว่ามีการระบาดของ ‘โรคไข้อีดำอีแดง’ ที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ โรงเรียน ซึ่งนอกจากโรคนี้ก็มี “โรคฮิตในเด็กเล็ก มาทำความรู้จักโรคฮิตที่พบได้บ่อยว่ามีโรคอะไรบ้าง” และเนื่องจาก ‘โรคไข้อีดำอีแดง’ ยังไม่มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ และหากไม่ได้รับการรักษาก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยได้ ดังนั้นเรามาทำความรู้จักโรคนี้และดูวิธีป้องกันให้ลูกน้อยกันค่ะ
‘โรคไข้อีดำอีแดง’ หรือ Scarlet Fever เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า สเตร็ปโตคอคคัสกลุ่มเอ (Group A Streptococcus) ในทางเดินหายใจ ที่ลำคอและต่อมทอนซิล
‘โรคไข้อีดำอีแดง’ ติดต่อได้อย่างไร มาดูกันค่ะ
โรคไข้อีดำอีแดงติดต่อได้โดยการหายใจสูดเอาละอองฝอย (droplet) ของเสมหะผู้ที่กำลังป่วยอยู่เข้าไป ซึ่งจะแพร่เชื้อได้ในขณะที่กำลังมีอาการไอหรือจามรดกัน หรืออาจติดต่อจากการสัมผัสโดยตรงผ่านทางมือของผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้และมีเชื้อติดอยู่ตามบริเวณฝ่ามือ หรือตามสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น แก้วน้ำ จาน ชาม ผ้าเช็ดหน้า เป็นต้น
ชวนเช็กอาการ ‘โรคไข้อีดำอีแดง’ ให้เจ้าตัวน้อย
-
มีไข้สูง หนาวสั่น
-
ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว
-
มีอาการเจ็บคอ อาจมีจุดแดงที่เพดานที่คอ ต่อมทอนซิลอาจบวมแดงและมีหนอง บางครั้งอาจคลำเจอต่อมน้ำเหลืองที่ข้างลำคอโตร่วมด้วย
-
ลิ้นอาจมีตุ่มสีแดง คล้ายผลสตรอเบอรี่
-
มีผื่นแดงขึ้นบริเวณรอบคอ หน้าอก และกระจายไปตามลำตัวและแขนขา ผื่นจะมีลักษณะเป็นเม็ดหยาบ ๆ เมื่อลูบจะรู้สึกสาก ๆ คล้ายกระดาษทราย ที่หน้าอาจมีแก้มแดงและรอบปากซีด อาจจะมีอาการคันบริเวณผื่นได้ จากนั้นอาจมีปลายนิ้วมือเท้าลอกได้
การรักษา
โรคไข้อีดำอีแดงรักษาได้ด้วยการทานยาปฏิชีวนะกลุ่ม เพนนิซิลิน (penicillin) หรือ อะมอกซิซิลิน (amoxycillin) เป็นระยะเวลาทั้งหมด 10 วัน และถึงแม้ว่าอาการของเจ้าตัวน้อยจะดีขึ้นแล้ว ก็ควรทานยาอย่างต่อเนื่องจนหมด เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกน้อยเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
อาการแทรกซ้อนที่ต้องรีบพาลูกน้อยไปหาคุณหมอ!
ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของ ‘โรคไข้อีดำอีแดง’ คือ
-
โรคไข้รูมาติก และโรคไตอักเสบเฉียบพลันซึ่งมักเกิดตามหลังจากการติดเชื้อที่คอหรือต่อมทอนซิล ประมาณ 1- 4 สัปดาห์ หากไม่ได้รับการรักษา หรือทานยาปฏิชีวนะไม่ครบตามระยะ
-
หูชั้นกลางอักเสบ
-
ไซนัสอักเสบ
วิธีป้องกันเจ้าตัวน้อยจาก ‘โรคไข้อีดำอีแดง’
เนื่องจากโรคนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ การป้องกันการติดเชื้อจึงสามารถทำได้โดยปฏิบัติดังต่อไปนี้…
-
ดูแลสุขภาพร่างกายเจ้าตัวน้อยให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการให้ทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
-
ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย โดยเฉพาะของใช้ส่วนตัว เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า เป็นต้น
-
หลีกเลี่ยงการพาลูกน้อยไปสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วย แต่หากมีความจำเป็นที่ต้องใกล้ชิดควรสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาร่วมกับล้างมือก่อนและหลังสัมผัสผู้ป่วยหรือของใช้ของผู้ป่วย
-
หากลูกน้อยป่วยเป็นโรคนี้ ควรให้หยุดเรียนหรือแยกตัวออกจากผู้อื่นจนกว่าจะได้ยาปฏิชีวนะไปแล้วอย่างน้อย 24 ชั่วโมงจึงจะไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น
ขอบคุณข้อมูลจากคุณหมอแอน พญ.ปิยะรัตน์ เลิศบรรณพงษ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
วันที่สร้าง 28/04/2025